ลวดเชื่อม (Welding Electrode)
เป็นวัสดุที่ใช้ในกระบวนการเชื่อมโลหะ โดยทำหน้าที่เป็นตัวนำไฟฟ้าในการเชื่อมระหว่างชิ้นงานเพื่อให้โลหะสองชิ้นรวมตัวกัน คุณสมบัติของลวดเชื่อมจะแตกต่างกันไปตามชนิดของลวดเชื่อมและกระบวนการที่ใช้
1. การนำไฟฟ้า:
- ลวดเชื่อมทำจากโลหะที่มีคุณสมบัติเป็นตัวนำไฟฟ้าดี เช่น เหล็กกล้า หรือทองแดง ทำให้กระแสไฟฟ้าสามารถไหลผ่านลวดเชื่อมและเกิดความร้อนที่ช่วยให้โลหะหลอมเหลวและเชื่อมติดกัน
2. การสร้างความร้อน:
- เมื่อกระแสไฟฟ้าไหลผ่านลวดเชื่อมจะเกิดความร้อนที่สูงพอที่จะทำให้โลหะในลวดเชื่อมและชิ้นงานหลอมละลาย กลายเป็นเนื้อเดียวกัน ความร้อนนี้จะส่งผลให้โลหะเกิดการเชื่อมต่อแน่นหนา
3. ความทนทานต่อความร้อน:
- ลวดเชื่อมจะต้องทนทานต่อความร้อนที่สูงในระหว่างการเชื่อม โดยลวดเชื่อมคุณภาพสูงจะสามารถรักษาความแข็งแรงและคุณสมบัติทางกลศาสตร์ได้ดีแม้ในสภาพความร้อนที่สูงมาก
4. สารเคลือบลวดเชื่อม (Flux Coating):
- ลวดเชื่อมหลายชนิดมีสารเคลือบหรือฟลักซ์ (Flux) เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้ออกซิเจนหรือก๊าซต่าง ๆ ในอากาศสัมผัสกับโลหะหลอมในระหว่างการเชื่อม ทำให้แนวเชื่อมมีคุณภาพดี ลดการเกิดรูพรุนหรือฟองอากาศในเนื้อเชื่อม
- สารเคลือบยังช่วยทำให้เกิดแก๊สป้องกันแนวเชื่อม และปกคลุมแนวเชื่อมให้สะอาดปราศจากสนิม
5. ความแข็งแรงและความเหนียว:
- ลวดเชื่อมที่ดีต้องมีความแข็งแรงสูง เพื่อให้แนวเชื่อมที่ได้มีความทนทาน สามารถรับแรงดัน แรงกระแทก และสภาพการใช้งานที่หนักได้โดยไม่แตกหักหรือลอกหลุด
- ความเหนียวของลวดเชื่อมช่วยให้ทนต่อการบิดงอหรือแรงดึงได้ดี
6. การใช้งานกับวัสดุหลายประเภท:
- ลวดเชื่อมมีหลายชนิดเพื่อให้เหมาะสมกับวัสดุที่ต่างกัน เช่น เหล็กกล้าคาร์บอน, สแตนเลส, อลูมิเนียม, และทองแดง โดยเลือกใช้ลวดเชื่อมที่เข้ากันได้ดีกับโลหะของชิ้นงานเพื่อให้การเชื่อมเกิดความแข็งแรงและคงทน